Last updated: 29 ก.ย. 2566 | 3279 จำนวนผู้เข้าชม |
"กินข้าวเป็นยา"
.
ฟังดูดีมาก ๆ เลย
แต่ในทางปฏิบัติ ทำได้ยาก
โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ชอบกินข้าวกล้อง
(ข้าวกล้องคือข้าวที่กระเทาะเปลือก ไม่ขัดเยื่อหุ่มเมล็ด)
แอดมินเอง ก็ทดลอง หัดกินอยู่นาน
เริ่มจากผสม กับข้าวหอมมะลิ
จากทีละน้อย จนถึงปัจจุบัน
สามารถหุงกินเพียว ๆ ได้เลย
.
แล้วคำว่ากินข้าวเป็นยานี่
กินแล้ว มันหายทันทีไหม
ยกตัวอย่างแบบนี้
คนที่ป่วยด้านต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์
หรือป่วยด้วยอาหารการกิน
เขาไมไ่ด้อยู่ดีดีก็ป่วย
ถ้ากรรมพันธุ์ อาการจะแสดงผล
ก็ต่อเมื่อร่างกาย(เซล) อ่อนแอ
ภูมิต้านทานลดลงจนไม่ไหว
อาการป่วยก็เริ่มแสดงออกมา
คนป่วยเพราะอาหารการกิน
ก็เพราะกินอาหารที่ไม่สะอาด
ไม่ปลอดภัย สะสมมาเรื่อย ๆ
จนร่างกายอีกนั่นแหละ ที่รับไม่ไหว
จึงเกิดการเจ็บป่วย
การกินข้าวเป็นยา โดยเลือกข้าว
ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ที่เหมาะกับโรค หรืออาการป่วยที่เป็น
เช่น
ข้าวกล้อง(ไม่ขัดเยื่อ) มีไฟเบอร์ วิตามินบีสูง
ข้าวมะลินิล มีแอนโทไซยานีน/แอนติเอจจิ้ง/แอนติออกซิแดนซ์
ข้าวมะลิแดง บำรุงหัวใจ ลดความดัน
ข้าวทับทิมชุมแพ มีฟลาโววินอยด์ ต้านเบาหวาน low gi
ข้าวผกาอำปึล บำรุงระบบประสาท
เป็นต้น
โดยเป็นการกินทุกวัน
เริ่มจากผสมกับข้าวปกติที่เรากิน
ค่อยเพิ่มสัดส่วนทีละนิด
.
กินข้าวเป็นยา
ไม่ใช่ป่วยมา กินแล้ว หายขาดทันที
ต้องค่อย ๆ กิน ปรับนิสัยการกินอาหาร
ด้านอื่น ๆ ตามไปด้วย
เพราะงานวิจัยด้านต่าง ๆที่รองรับ
คือ ร่างกายคนเราจะรับสารอาหาร
เท่าที่ร่างกายขาด หรือจำเป็น
พูดง่าย ๆ ร่างกายขาด แค่ 5 ส่วน
กินมื้อละ100 ส่วน นำไปใช้ได้จริง 5
ที่เหลือ 95 ก็ถูกขับออกมาเป็นของเสีย
ดังนั้นการกินข้าวเป็นยา
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการดูแลร่างกาย
ดูแลสุขภาพ ทั้งที่ป่วยแล้ว ยังไม่ป่วย
ด้วยการเลือกอาหารที่ดี
ปลอดภัยกับร่างกายของเราเอง
การไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐครับ
28 ธ.ค. 2566
28 ม.ค. 2564
30 ต.ค. 2567